คุยกับ“ต๊อบ”เถ้าแก่น้อย ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังหนัง”วัยรุ่นพันล้าน” คำถามฮิต”เรื่องนี้จริงหรือเปล่า“

เปิดอ่าน 4,424 views

tkn

เมื่อเปิดถุงสาหร่ายทอดกรอบ จะเห็นแผ่นสาหร่ายทอดสีเขียวน่ากินบรรจุอยู่ในนั้น

พิจารณาดูแล้ว แผ่นสาหร่ายมีผิวสัมผัสที่ไม่ “เรียบ”

แต่เมื่อผสมกับรสชาติอร่อยจากสูตร “ลับสุดยอด” ของสาหร่ายทอด

ผิวสัมผัสของสาหร่าย จะทำให้เกิดภาวะที่นักชิมเรียกว่า “เซ็กส์ อิน เดอะ เม้าท์”(Sex in the mouth)

ส่งให้สาหร่ายทอดกรอบอร่อยมากขึ้นเป็นกอง

กรุบๆกรอบๆ แซ่บอีหลี…

และยิ่งเป็น สาหร่ายในซองของ “เถ้าแก่น้อย”

ความไม่ “เรียบ” ของแผ่นสาหร่าย ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเป็นทวีคูณ

เพราะผู้เป็นเจ้าของสาหร่ายแบรนด์นี้ที่พบได้ทั่วไปในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11

คือเด็กหนุ่มอายุ 27 ปี นามว่า ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด

ชายหนุ่มผู้นี้บอกกับเราว่า เขาโชคดีที่ค้นพบตัวเองว่าอยากทำอะไร ตั้งแต่อายุ 18 ปี…

ประวัติชีวิตของเขา เกิดมาลุยจริงๆ

จากเด็กติดเกมที่หาเงินจากการเล่นเกม จากการทำธุรกิจขายเครื่องเล่นซีดี จากการทำกิจการขายเกาลัดคั่ว

ทั้ง ล้ม ทั้งลุก เส้นกราฟชีวิตขรุขระไปมา จนกระทั่งมาพบกับสาหร่ายทอด ที่เขาปลุกปั้นโรงงานด้วยเลือด(กำเดา) และน้ำตา ภายใต้แบรนด์ “เถ้าแก่น้อย”

จนในวันนี้ “เถ้าแก่น้อย” นอกจากจะขายดีในบ้านเราแล้ว ยังเป็นสินค้าส่งออกไปทั่วโลกถึง 26 ประเทศ

และ ในปีที่ผ่านมา ปี 2554 ธุรกิจของ “เถ้าแก่น้อย” มีบิลลิ่ง สูงถึง 2,000 ล้านบาท เรียกได้ว่า เป็นเศรษฐีพันล้านตั้งแต่อายุยังน้อยกันเลยทีเดียว

ที่เล่ามาข้างต้น หากอยากลงรายละเอียดชีวิตของ ต๊อบ จนทำให้มีวันนี้…

ลองเดินไปร้านขายแผ่นหนัง แล้วหยิบดีวีดีหนัง “Top Secret วัยรุ่นพันล้าน” อีกหนึ่งผลงานจากทีมงานสร้างหนังฟีลกู๊ดค่ายจีทีเอช

ตัวหนังอาจจะมีการเสริมเติมแต่งเพื่อให้ดูสนุก อาจจะไม่ตรงกับเรื่องจริงเสียทั้งหมด

แต่ “สาร” ที่อยู่ในหนัง ก็ไม่ต่างจากชีวิตจริงของต๊อบ ซึ่งคุ้มค่าที่จะใช้เวลาสองชั่วโมงเศษ เพื่อชมหนังเรื่องนี้…

นอกจากนี้ ปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทางสำนักพิมพ์มติชน ก็จะมีหนังสือที่พูดถึงเส้นทางที่ทำให้มีวันนี้ของต๊อบ ที่มีชื่อว่า “เถ้าแก่น้อย ′ต๊อบ′ Story” ฝีมือเรียบเรียงของ สรกล อดุลยานนท์ และ เชตวัน เตือประโคน

ทั้งหนังและหนังสือ ได้เล่าเรื่องการต่อสู้บนเส้นทางธุรกิจของนายต๊อบ ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมฯ

เขาลองผิดลองถูก เจ็บมาก็หลายครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นสู้ จนประสบความสำเร็จในชีวิต

ภาพยนตร์ “Top Secret วัยรุ่นพันล้าน”

ภายหลัง จากหนังแนวเสริมกำลังใจเรื่องนี้ออกฉายในโรงหนังวงกว้างเมื่อช่วง  จนมาถึงวันนี้ วันที่มีซีดีและดีวีดีของหนังเรื่องนี้ กระจายทั่วไปในวงกว้าง

ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่มีหนังเรื่องนี้ ผู้คนเริ่มรู้จักเขามากขึ้น

“ผม รู้สึกอย่างแรกเลยก็คือ มันได้อย่างเสียอย่าง คือ เมื่อหนังออกไปแล้วทำให้ผมบรรยายง่ายขึ้น ตามปกติผมจะต้องบรรยายตามมหาวิทยาลัย บรรยายตามบริษัท เดี๋ยวนี้ง่ายเลย คนดูหนังผมมากขึ้นเยอะแล้ว ล่าสุดผมไปบรรยายที่เครือสหพัฒน์ ผมถามก่อนเลยว่า ใครเคยดูหนังเรื่อง ′Top Secret วัยรุ่นพันล้าน′ ถ้าเกิดยกมือหมดเกือบทั้งห้องนะ ผมสบายล่ะ ผมก็เล่าเรื่องง่ายขึ้น ไม่หนักมาก เหมือนที่เราจะต้องลดภารกิจการพูดให้ความรู้คนอื่น

“อย่าง ที่สอง แน่นอนว่า ไปไหนผมก็ต้องชูสองนิ้วสู้ตายตลอด เมื่อยมือมาก คือเวลาเจอใคร สมัยก่อนคนที่มาถ่ายรูปกับผม จะเป็นกลุ่มแบบอายุ 30 ปีขึ้น อะไรอย่างนี้ หรือไม่ก็ประมาณ 25 ปี แนวคนทำงานใหม่ แต่เดี๋ยวนี้ เด็กตัวเล็กๆก็เข้ามาทัก อย่างล่าสุด ผมเดินอยู่ในห้าง มีคนมาเรียกผมว่า น้องต๊อบๆ ผมก็หันไปปั๊บ เจอเด็กไม่ถึงไหล่ผม น่าจะอายุประมาณสักสิบขวบ บอกว่า ขอถ่ายรูปด้วย(หัวเราะ) คือเขาเรียกตามลุงเทืองแบบในหนัง เดี๋ยวนี้มีคนเห็นผมเป็นไอดอลมากขึ้น เด็กตัวเล็กๆก็เห็น วัยรุ่น นักศึกษาก็เยอะ อย่างล่าสุด ผมไปงานคอนเสิร์ตเกาหลี ที่ผมเพิ่งจัด พอศิลปินเกาหลีเตรียมซ้อมเริ่มเต้น ไปเดินอยู่ตรงที่พารากอน พวกที่มาดูเกาหลีรุมถ่ายรูปผมอีก กลายเป็นเกาหลีไม่มีแล้ว เอารูปผมแทนก็แล้วกัน(หัวเราะ)

แล้วกระแสของหนัง มีผลต่อยอดขายไหม?

“คือ ยอดขายที่ผ่านมา ผมโตอยู่ประมาณเกือบ 30% ได้ แต่ว่าหนังทำให้ยอดขายดีขึ้นไหม ผมว่ามันไม่ชัด เพราะว่าหนังฉายในช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เป็นช่วงที่โรงงานผมน้ำท่วมสูงสุด แต่ว่าโอเค หลังจากนั้นมา เริ่มดีขึ้น พอช่วงธันวาคม โรงงานผมเริ่มกลับมา ก็เริ่มผลิต ของยิ่งขาดด้วย หายไปสองเดือน ก็เลยผลิตของเดือนธันวาคมหนักมากๆเลย ฉะนั้น มาเริ่มเดือนนี้ ก็ยังไม่รู้ แต่ผมว่ายังไงหนังมันต้องมีผลต่อยอดขายไม่มากก็น้อย แถมพอมีซีดีหนังขายในเซเว่น-อีเลฟเว่น ก็ยิ่งมีคนรู้จักมากขึ้น”

ต๊อบและพ่อกับแม่ ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว รู้สึกอย่างไร?

“ผม ดูแล้ว หมั่นไส้ตัวเองมากในช่วงแรก คือ จริงๆแล้ว สมัยเด็ก ผมเป็นเด็กเกเร แต่ผมเกเรแบบเงียบดื้อ แบบอาจารย์สั่งให้ทำอะไร ผมไม่ทำ แต่ผมไม่เฮี้ยวระดับขั้นมาเถียง ผมเถียงนะ แต่เถียงนิ่มๆ ไม่ก้าวร้าว ในหนังจะก้าวร้าวมากไปนิดหนึ่ง แต่ว่าเราโอเค เราเข้าใจว่าเป็นหนัง ก็เล่าเรื่อง 2 ชั่วโมงน่ะ จะก้าวร้าว จะเกเร ต้องชัดเลยว่าเกเร ถ้ามาแอบซ่อนความรู้สึก ก็มองไม่เห็นความเกเร แต่ผมสนุกกับมันนะ ผมซื้อซีดีกลับมาดูอีกตั้ง 2 รอบ เพราะไม่ใช่อะไรหรอก พอมีคนมาถาม บางตอนผมก็ยังลืมเลย มีตอนนี้ด้วยเหรอ(หัวเราะ)”

“ส่วนความรู้สึก ของพ่อแม่ ตอนแรกก็เครียดนะ ไม่รู้ว่าพ่อจะว่าผมหรือเปล่า ทำไมเล่าเรื่องลึกขนาดนี้ แต่พอหนังออกไปแล้ว มันเป็นคนละแบบกับที่คิด ป๊ากับม้ากลับภูมิใจกับมัน หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องเดียวที่ผมไม่กล้าออกตัวชวนครอบครัวไปดู ปกติ ถ้าหนังอย่างพระนเรศวร ก็ชวนไปดูด้วยกัน แต่อย่างนี้ แบบไม่กล้า กลัวดูแล้ว มีป๊ามีม้าอยู่แล้วเขิน เก็ง เลยไม่ชวน

“มีวันหนึ่ง ป๊า มาพูดเหมือนกัน เขาดูหนังมาอาทิตย์หนึ่งแล้วมาบอกว่า ป๊าไปดูมา แล้วเพื่อนป๊าถามว่า ไปเมืองจีนตอนไหน(ในหนัง มีฉากที่พ่อแม่ของต๊อบหลบภาวะหนี้สินไปอยู่ที่เมืองจีน) ป๊าบอกบอกกับผมว่า ก็เนียนไปเลย ก็บอกว่า ไปมาจริงๆ ข้ามฮ่องกงแล้วไปเซินเจิ้น(หัวเราะ) กลายเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้ซีเรียส เราก็รู้ว่าเขาไม่ซีเรียส เราก็กังวลว่า ไปเมืองจีน แล้วป๊าเจอเพื่อนเยอะๆ จะเครียดหรือเปล่า แต่ผมก็เห็นว่าพ่อไม่ซีเรียส เราก็เลยสบายใจ”

พี่เก้ง-จิระ มะลิกุล ผู้อำนวยการสร้างหนังของจีทีเอช เคยเตือนว่า พอหนังออกแล้ว คนคิดว่าเรื่องราวในหนังจะเป็นเรื่องจริง

ต๊อบเห็นว่า…

“ใช่ๆ คนจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะมีอีกกลุ่มที่สงสัยอยู่ตลอดเวลาเลยว่า เฮ้ย ตอนนี้ใช่เหรอ อย่างตอนฉากที่ต๊อบขโมยพระของที่บ้าน วันหนึ่ง ผมไปทานอาหารที่ร้าน ก็มีเด็กเสิร์ฟถามว่า ′เอ่อ พี่เถ้าแก่น้อยใช่ไหมครับ?′ เราก็ตอบว่า ใช่ เขาก็ถามต่อว่า ′เออ ฉากขโมยพระ เรื่องจริงใช่ไหมครับ?′ โห มาถามกันกลางห้าง คนเต็มไปหมดเลย จะตอบยังไงดี ผมคิดอยู่นานเลย ถ้าตอบว่าขโมยก็คงแย่ เอาไงดี หรือว่าถ้าตอบว่าไม่ขโมย ก็ไม่เหมือนในหนังน่ะสิ ก็เครียดเลย ผมเลยนึกทางเลือกออกว่า ′อย่างนี้น้อง เรื่องนี้ ลับสุดยอด ท็อป ซีเคร็ต(หัวเราะ)′ ก็ไม่รู้กันต่อไปนั่นแหล่ะ”

คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่า ต๊อบจ้างจีทีเอชมาทำหนังเรื่องนี้ แต่ต๊อบบอกว่า ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น

“ถ้า ผมจ้างจีทีเอชนะ ผมจะไม่ให้หนังเข้าวันที่ 20 ตุลา ปีที่แล้วแน่นอน เพราะว่าวันนั้น น้ำท่วมเข้ามาในโรงงานผมแล้ว ถ้าผมจ้าง ผมจะบอกว่าเลื่อนเถอะ เลื่อนมาในช่วงปลายธันวาคม หรือมกราคมก็ได้ อย่างที่สอง ถ้าผมจ้าง หนังคงไม่ออกมาเป็นอย่างนี้ ไม่มีฉากที่ผมขโมยพระ ไม่มีฉากแย่ๆ ความผิดพลาดอาจจะน้อยกว่านี้ ผมอาจจะเทพกว่านี้ก็ได้(หัวเราะ)”

“Top Secret วัยรุ่นพันล้าน” เป็นหนังแนวเสริมกำลังใจ ให้คนลุกขึ้นสู้กับชีวิต…

แล้วมีใครสักคน ที่ดูหนังเรื่องนี้จบ แล้วเดินมาบอกกับต๊อบว่า ′ขอบคุณที่หนังทำให้มีกำลังใจสู้ชีวิต′ บ้างไหม?

“มี นะ มีเยอะมาก จริงๆแล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่ง ผมเพิ่งรู้จักกับเขา แบบเราเพิ่งรู้จักกัน แต่เรารู้สึกว่าคนนี้ดีนะ น่าคบหา มีอยู่วันหนึ่ง เขาดูหนังเรื่องนี้ แล้วมีสิ่งที่เขาคิดได้”

สิ่งที่เธอคิดได้ ต๊อบขยายความว่า…

“คุณ อาจจะไม่รู้ว่า เด็กสมัยนี้เป็นไง คือ เด็กสมัยนี้ตื่นมาแล้ว ถามว่า ตอนเย็นไปไหน ยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน คือแบบยังไม่มีแพลน มันไม่ได้วางแผน ไม่ได้อะไรไว้ ส่วนน้องคนที่ผมพูดถึง เขาดูหนังเรื่องนี้แล้วเขารู้สึกว่า เขารู้แล้วว่าเขาอยากทำอะไร คือเมื่อก่อนจะไปเที่ยว จะกินข้าวก็ยังไม่มีแผน แต่ตอนนี้ เขาดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้ว่า ตื่นขึ้นมาจะต้องทำอะไร เหมือนเขามีเป้าหมายในชีวิต”

พอพูดถึงเป้าหมายของชีวิต ต๊อบบอกว่า มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกว่า เขาโชคดีกว่าคนอื่น นั่นคือ…

“จุด เริ่มต้นของผมจริงๆ ผมดีกว่าคนอื่นแค่อย่างเดียว นั่นคือ ผมรู้ว่า ชีวิตผมอยากทำอะไรตั้งแต่อายุยังน้อย จริงๆแล้ว ประเด็นมันแค่นั้นเอง ผมรู้ว่า ตอนผมอายุ 18-19 ปี ผมรู้ว่าผมอยากทำอะไร”

ผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อย

นอก จากการมีหนังอย่าง “Top Secret วัยรุ่นพันล้าน” ที่ทำให้ผู้คนรู้จักกับ ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ แล้ว ทางสำนักพิมพ์มติชน ก็กำลังจะคลอดหนังสือ ที่มีชื่อว่า “เถ้าแก่น้อย ′ต๊อบ′ Story” ออกมาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านเช่นกัน

“หนังสือเล่มนี้ ที่ผมจะทำขึ้นมา ผมคิดว่า ผมจะพิมพ์สักหมื่นเล่ม ผมจะไปแจก ตั้งใจไว้ว่าจะแจกให้พวกนักเรียน นักศึกษา เพราะว่า หลังจากที่หนังสือเล่มนี้ออก ผมลองเอาไปให้เด็กอ่าน เขาชอบ คือปกติเด็กชั้นมัธยม ไม่อ่านหนังสือธุรกิจนะ เพราะไม่เข้าใจ แต่ผมไม่รู้ทำไม หนังสือของผม เด็กอ่าน พวกเด็กม.ปลาย เขาชอบ ผมเลยมองว่า ถ้าเขาอ่าน อย่างน้อยก็มีโอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จ มีโอกาสที่จะรู้ว่าไปทางไหน ก็เลยคิดว่าจะแจกพวกเด็กม.ปลายกับมหาวิทยาลัย

“คนที่อ่านหนังสือแล้วรู้สึกว่า วันรุ่งขึ้นต้องลุกไปทำอะไรสักอย่าง ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมก็ภูมิใจแล้วล่ะ”

ประโยคสุดท้ายของหนังเรื่อง “Top Secret วัยรุ่นพันล้าน” มีคำพูดของต๊อบ ที่บอกกับคนดูว่า

“ทุกครั้งที่เจอปัญหา ห้ามหมดกำลังใจเป็นอันขาด

เพราะถ้าเรายอมแพ้ เกมจะจบลงทันที”

 

ชวนให้คิดว่า “ปัญหา” อาจจะเปรียบเป็นความขรุขระ ไม่ “เรียบ” ของแผ่นสาหร่าย

ในความไม่สะดวกสบายของชีวิต ในความไม่สบายมือเมื่อสัมผัสแผ่นสาหร่าย

หากจัดการกับมันได้..

ผลลัพธ์ก็คือ

ชีวิตของเรา คงจะมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น

ไม่ต่างจากสาหร่ายที่อยู่อยู่ในปาก

ที่พื้นผิวอันไม่ “เรียบ” นั้น

ทำให้สาหร่ายอร่อยขึ้น 😀

ร่วมแสดงความคิดเห็น
TAGS ที่เกี่ยวข้อง